การป้องกันหมัด
การป้องกันหมัด วงจรชีวิตของหมัด หมัดตัวเต็มวัย (adult) อาศัยกินเลือดอยู่บนตัวสุนัขและแมว จากนั้นจะวางไข่บนตัวสุนัขครั้งละประมาณ 50 ฟองต่อวัน ใช้เวลาฟักตัวเป็นตัวอ่อนประมาณ 2-5 วัน ไข่จะร่วงหล่นลงสู่สิ่งแวดล้อมซ่อนตัวตามพรม เฟอร์นิเจอร์ ที่นอนสัตว์เลี้ยง หรือตามสนามหญ้าหรือกองใบไม้ต่างๆ โดยตัวอ่อนระยะที่ 1 (Larva) จะกินเศษอุจจาระของหมัดตัวเเก่ที่ล่วงหล่นจากตัวสัตว์เลี้ยง รวมทั้งกินเศษดินต่างๆ หรือไข่พยาธิที่มีอยู่ตามสิ่งแวดล้อม หมัดจึงเป็นพาหะของการติดพยาธิทางเดินอาหารได้ จากนั้นตัวอ่อนระยะที่ 1 จะเกิดการลอกคราบเป็นตัวอ่อนระยะที่ 2 (Pupa) โดยใช้ระยเวลาประมาณ 5-21 วัน ขึ้นอยู่กับอาหารและความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม โดยตัวอ่อนระยะที่ 2 จะมีลักษณะคล้ายดักแด้หรือรังไหม โดยในระยะนี้จะอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมประมาณ 20-30 วันในการลอกคราบเป็นตัวเต็มวัย แต่ก็สามารถคงสภาพเป็นดักแด้ได้นานเป็นปีโดยที่ไม่ต้องกินอาหาร หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการลอกคราบ หลังจากลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยแล้วก็จะรอขึ้นสู่ตัวสัตว์เลี้ยงต่อไป การติดหมัดอาจจะเกิดได้ 2 ทางคือการติดจากสัตว์ตัวอื่นนอกบ้าน และติดหมัดตัวเต็มวัยจากสิ่งแวดล้อม ถ้าหากเราพบหมัดบนตัวสัตว์เลี้ยง มีโอกาสที่ในสิ่งแวดล้อมในบริเวณบ้านเราจะมีหมัดในช่วงวัยต่างๆมากกว่าที่เราคิด เพราะหมัดมีช่วงชีวิตที่เจริญเติบโตและค่อนข้างคงทนในสภาพแวดล้อม
อาการ อาการเฉพาะที่ เราอาจจะสังเกตุพบตัวหมัดเดินตัวสุนัขและแมวได้เลย หมัดจะมีขนาดเล็กแต่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถกระโดดจากสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปที่อีกตัว หรือบางครั้งจะพบขี้หมัดเป็นผงสีดำตามตัวสุนัขหรือบริเวณพื้นบ้าน หมัดจะดูดเลือดและตัวน้ำลายหมัดจะทำให้สัตว์เลี้ยงอาการแพ้ได้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการคันมาก สุนัขหรือแมวบางตัวจะคันจนต้องหันไปกัดแทะตัว กระวนกระวาย หรือไม่สามารถนอนหลับได้ นอกจากนั้นในบางตัวจะมีการตอบสนองมากกว่าปกติคืออาจจะเกิดภาวะการแพ้น้ำลายหมัด (Flea allergy dermatitis) มีอาการคัน ขนร่วง เป็นผื่นแดง โดยมักจะเป็นมากบริเวณช่วงท้ายลำตัวหรือช่วงหลัง อาการทางระบบ หากสุนัขถูกหมัดกัด ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโลหิตจาง (anemia) ได้ โดยในสัตว์อายุน้อยหรือสัตว์ที่มีขนาดตัวเล็กอาจจะเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่ายกว่า หรือหากติดปริมาณมากก็เกิดภาวะโลหิตจางได้เช่นกันในสัตว์เลี้ยงปกติ นอกจากนั้นถ้าสุนัขหรือแมวมีอาการคันมากจนไปกัดแทะตามตัว อาจจะกินหมัดเข้าไปโดยบังเอิญซึ่งส่งผลทำให้ติดพยาธิตัวตืดได้ (dipylidium caninum)
|
อาการแพ้ (Allergic Reaction) | ภาวะโลหิตจาง (Anemia) | การติดพยาธิตัวตืด (Tapeworm infection) |
- มีอาการคันบ่อยและมากกว่าปกติ - กัดแทะหรือเลียตัวมากกว่าปกติ - อาจจะเอาหลังไปถูกกับสิ่งของ - ขนร่วง หรือบางลง - ผิวหนังอักเสบแดงโดยมากมักจะเป็นบริเวณหลังหรือท้ายลำตัว **ส่วนมากสุนัขอาจจะยังคันอยู่นานหลังจากที่ไม่มีหมัดอยุ่บนตัวแล้ว |
- เหนื่อยง่าย นอนมากกว่าปกติ - น้ำหนักลด - เหงือกซีด - หอบเหนื่อย
**ส่วนมากจะเกิดภาวะโลหิตจางในกรณีที่มีการติดหมัดจำนวนมาก หรือ |
- พบตัวพยาธิออกมาพร้อมกับอุจจาระหรือบนที่นอน - ท้องเสีย - การอุดตันของลำไส้ - น้ำหนักลด - ปัญหาทุพโภชนาการ - ท้องกาง พบบ่อยในลูกสุนัข |
การรักษา หากพบหมัดบนตัวสัตว์เลี้ยงควรปฏิบัติดังนี้
การป้องกัน การป้องกันบนตัวสัตว์เลี้ยง ป้องกันเห็บด้วยรูปแบบยาหยอด หรือยากินเดือนละ 1 ครั้งเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง การป้องกันในสิ่งแวดล้อม เนื่องจากวงจรชีวิตของเห็บอยู่ในสิ่งแวดล้อมมากกว่าบนตัวสัตว์ ดังนั้นการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้านเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สามารถทำได้ดังนี้
บทความโดย สพ.ญ. นิรชรา ชมท่าไม้ (คลินิกอายรุกรรม, คลินิกระบบประสาท โรงพยาบาลสัตว์เมืองเอก) |